วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2557

การเขียนผังงานโปรแกรม flowchart










แนะนำการเขียนโปรมแกรมภาษา C







                                                                      


จุดเด่นของภาษาซี

จุดเด่นของภาษาซีที่ควรรู้
  1. เป็นภาษาที่มีลักษณะเป็นโครงสร้างและเป็นขั้นตอนจึงเขียนโปรแกรมง่าย โปรแกรมที่เขียนขึ้นจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง
2. สั่งงานอุปกรณ์ในระบบคอมพิวเตอร์ได้เกือบทุกส่วนของฮาร์ดแวร์ซึ่งภาษาระดับสูงกว่าภาษาอื่น
3. คอมไพเลอร์ภาษาซีทุกโปรแกรมในท้องตลาดจะทำงานอ้างอิงมาตรฐาน(ANSI= American National Standards Institute) เกือบทั้งหมด จึงทำให้โปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาซีสามารถนำไปใช้กับคอมพิวเตอร์ได้ทุกรุ่นที่มาตรฐาน ANSI รับรอง
4. โปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาซีสามารถนำไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ซีพียูต่างเบอร์กันได้ หรือกล่าวได้ว่าโปรแกรมมีความยืดหยุ่น (portabiliy) สูง
5. สามารถนำภาษาซีไปใช้ในการเขียนโปรแกรมประยุกต์ได้หลายระดับ เช่น เขียนโปรแกรมจัดระบบงาน (OS) คอมไพเลอร์ของภาษาอื่น โปรแกรมสื่อสารข้อมูลโปรแกรมจัดฐานข้อมูล โปรแกรมปัญญาประดิษฐ์(AI = Artificial Inteeligent) รวมทั้งโปรแกรมคำนวณงานทางด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ เป็นต้น
6. มีโปรแกรมช่วย (tool box) ที่ช่วยในการเขียนโปรแกรมมาก และราคาไม่แพงหาซื้อได้ง่าย เช่น vitanin c หรืออื่น ๆ
7. สามารถประกาศข้อมูลได้หลายชนิดและหลายรูปแบบ ทำให้สะดวกรวดเร็วต่อการพัฒนาโปรแกรมตามวัตถุประสงค์ของผู้ใช้
8. ประยุกต์ใช้ในงานสื่อสารข้อมูล และงานควบคุมที่ต้องการความแม่นยำในเรื่องเวลา (real time application) ได้ดีกว่าภาษาระดับสูงอื่น ๆ หลาย ๆ ภาษา
9. สามารถเขียนโปรแกรมด้วยเทคนิคแบบโอโอพี (OOP = Object Oriented Programming) ได้หากใช้ภาษาซีรุ่น TURBO C++ ขึ้นไป ทำให้สามารถพัฒนาโปรแกรมประยุกต์เพื่อใช้งานได้กว้างขวางมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม












ที่มา




การเขียนโปรแกรมด้วยภาษาC



                               วิดีโอการเขียนโปรแกรมด้วยภาษาC






เราสามารถศึกษาได้เพิ่มที่     http://www.vcharkarn.com/varticle/18065





วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

มารู้จักภาษาซี กันเถอะ!!!

           ภาษาซี (C Programming Language) คือ ภาษาคอมพิวเตอร์ใช้สำหรับพัฒนาโปรแกรมทั่วไป ถูกพัฒนาครั้งแรกเพื่อใช้เป็นภาษาสำหรับพัฒนาระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ ( Unix Opearating System) แทนภาษาแอสเซมบลี ซึ่งเป็นภาษาระดับต่ำที่สามารถกระทำในระบบฮาร์ดแวร์ได้ด้วยความรวดเร็ว แต่จุดอ่อนของภาษาแอซเซมบลีก็คือความยุ่งยากในการโปรแกรม ความเป็นเฉพาะตัว และความแตกต่างกันไปในแต่ละเครื่อง เดนนิส ริตชี (Dennis Ritchie) จึงได้คิดค้นพัฒนาภาษาใหม่นี้ขึ้นมาเมื่อประมาณต้นปี ค.ศ. 1970 โดยการรวบรวมเอาจุดเด่นของแต่ละภาษาระดับสูงผนวกเข้ากับภาษาระดับต่ำ เรียกชื่อว่า ภาษาซี คลิปลับ VDO งานเสริมทำออนไลด์ผ่าน net สร้างรายได้ 5 หมื่น บ/ด ขั้นต่ำ ดูที่ www.888.321.cn


          เมื่อภาษาซี ได้รับความนิยมมากขึ้น จึงมีผู้ผลิต compiler ภาษาซีออกมาแข่งขันกันมากมาย ทำให้เริ่มมีการใส่ลูกเล่นต่างๆ เพื่อดึงดูดใจผู้ซื้อ ทาง American National Standard Institute (ANSI) จึงตั้งข้อกำหนดมาตรฐานของภาษาซีขึ้น เรียกว่า ANSI C เพื่อคงมาตรฐานของภาษาไว้ไม่ให้เปลี่ยนแปลงไป










ที่มา

วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

กสอ.ดัน SMEsใช้ฟรีแวร์ ปรับปรุงระบบไอที เสริมศักยภาพธุรกิจ





กสอ.ดันระบบไอทีแนวใหม่ให้ SMEs ใช้ฟรีต่อเนื่อง หลังโครงการ ECIT ผลักระบบคลาวด์คอมพิวติ้งลงภาคอุตสาหกรรมสำเร็จ สั่งปรับโฉมฟรีแวร์ให้คลุมถึงโมบายล์แอพฯ คาดลดต้นทุนการผลิตมากกว่า 2 แสนบาทต่อรายต่อปี หลังพบเอสเอ็มอีขาดความพร้อมในการลงทุนด้านไอที...                                                                                                                                                                                                             
 นางอรรชกา สีบุญเรือง อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กล่าวว่า แผนการดำเนินโครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ (Enhancing SMEs Competitiveness Through IT : ECIT) ในปี 2557 นี้ จะมีการเพิ่มความเข้มข้นมากกว่า 5 ปีที่ผ่านมา โดยวางเป้าหมายที่จะครอบคลุมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพใน SMEs ระดับล่างมากขึ้น โดย ECIT จะเพิ่มแอพพลิเคชั่นที่เป็นฟรีแวร์ให้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการในกิจการ โดย SMEs ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เช่น การประยุกต์ใช้ระบบงานต่างๆ ที่กูเกิลให้บริการฟรีอยู่ หรือการใช้โอเพนซอร์ส ของชุดโปรแกรม Office เป็นการช่วยให้ SMEs ลดต้นทุน
อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวต่อว่า นอกจากนั้นจะมีการพัฒนาฟังก์ชั่นการใช้งาน e-Procurement เพื่อให้  SMEs เชื่อมโยงระบบการจัดซื้อแบบ Real Time ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการของ SMEs และช่วยเพิ่มยอดขายและขยายช่องทางการตลาดได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นในการเชื่อมต่อระบบ e-Supply Chain ต่อไปในอนาคต นอกจากนี้มีการส่งเสริม SMEs ใช้ระบบ Dead Stock Management เพื่อช่วยลดต้นทุนในการเก็บสต๊อกสินค้า และเพิ่มมูลค่าของสต๊อกสินค้าเพิ่มมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นจะมีการส่งเสริมให้ SMEs ใช้ Social Media เพื่อเพิ่มศักยภาพทางการตลาด โดยดำเนินงานในลักษณะให้การอบรมและคำปรึกษาเชิงลึก ซึ่งจะเน้นเป็นกิจการ ใช้เวลาการดำเนินงาน กิจการละ 1 ถึง 4 เดือน จะช่วยให้ SMEs มียอดขายเพิ่มขึ้นจากการตลาดผ่านสังคมออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก เป็นต้น

       นางอรรชกา กล่าวถึงผลการดำเนินงานโครงการ ECIT  ในปีงบประมาณ 2556 ว่า สามารถพัฒนาและส่งเสริมให้ SMEs ไทย ให้ใช้ระบบไอทีเพื่อเป็นเครื่องมือหนึ่งในการเพิ่มผลิตภาพและลดต้นทุนของกิจการ พร้อมกับมีการพัฒนาบุคลากรด้านการประยุกต์ใช้ไอทีในกิจการ ซึ่งมี SMEs เข้าร่วมโครงการจำนวน 1,600 กิจการ และ 1,500 คน โดยใช้งบประมาณจำนวน 35,000,000 บาทในการดำเนินกิจกรรม ปรากฏว่าสามารถช่วยให้ SMEs มีผลิตภาพและประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น สามารถประเมินผล เป็นจำนวนเงินที่ SMEs ได้จากการเพิ่มผลิตภาพ จากการประหยัดต้นทุนการนำระบบไอทีมาใช้ จากรายได้ที่เพิ่มขึ้น จากการลงทุนที่เพิ่มขึ้น และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่น้อยกว่า 148 ล้านบาท ซึ่งถ้าหากคิด Benefit / Cost Ratio ขั้นต่ำที่ได้จากโครงการนี้ จะเท่ากับ 4.23 นั่นหมายถึง รัฐฯ ลงทุนในโครงการนี้ 1 บาท ได้ผลตอบแทนความคุ้มค่า 4.23 บาท ถือว่าเป็นการลงทุนที่มีกำไร
อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวถึงการดำเนินงานโครงการ ECIT ในปีงบประมาณ 2557 ว่า ยังคงได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับงบประมาณโดยรวมประมาณ 30 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายส่งเสริม SMEs ใช้ไอทีในกิจการ จำนวน 900 กิจการ และคาดการณ์ว่า จะสามารถช่วย SMEs ที่เข้าร่วมโครงการ สามารถเพิ่มผลิตภาพ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มยอดขาย ลดต้นทุนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง พร้อมกับประหยัดค่าใช้จ่ายในการลงทุนด้านไอทีเพื่อใช้ในกิจการ ไม่น้อยกว่า 150 ล้านบาท ซึ่งกิจกรรมส่วนใหญ่ในปีนี้ยังคงดำเนินงานในลักษณะเดียวกันที่ผ่านมาแต่เพิ่มโมเดลการให้ส่งเสริม SMEs ใช้ไอที โดยจะเน้นส่งเสริมและกระตุ้นให้ SMEs ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศในการเพิ่มประสิทธิภาพ และผลิตภาพของธุรกิจ ผ่าน Mobile Application ทั้งนี้ แผนงานการดำเนินงานในปีนี้ แบ่งออกเป็น 4 แนวทาง ดังนี้
1. มุ่งเน้นซอฟต์แวร์การบริหารงานครบวงจร (ERP: Enterprise Resource Planning) และซอฟต์แวร์เฉพาะด้านผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ด้วยเทคโนโลยี Cloud Computing รวมถึงการส่งเสริมให้ใช้ Mobile Application ที่ใช้งานง่ายเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการเพิ่มผลิตภาพของกิจการ นอกจากนี้ในปีนี้ได้เพิ่มแอพพลิเคชั่นที่เป็น Free Ware ให้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการในกิจการ โดย SMEs ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เช่น การประยุกต์ใช้ระบบงานต่างๆ ที่ Google ให้บริการฟรีอยู่ หรือการใช้ Open Source ของโปรแกรม Office เป็นการช่วยให้ SMEs ลดต้นทุนค่าใช่จ่ายด้านไอที เป็นต้น
2. การพัฒนา SMEs ให้มีศักยภาพทางการตลาดผ่าน Social Media เช่น Facebook เป็นต้น ซึ่งช่องทางออนไลน์ รวมถึงโซเชียลมีเดีย ถือเป็นช่องทางเดียวที่มีศักยภาพ สามารถลดต้นทุน และเพิ่มยอดขายได้ในเวลาเดียวกัน
3. ส่งเสริม SMEs ให้มีระบบธุรกรรมออนไลน์ โดยมีการพัฒนาฟังก์ชั่นการใช้งาน e-Procurement เพื่อให้ SMEs เชื่อมโยงระบบการจัดซื้อแบบ Real Time ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการของ SMEs และช่วยเพิ่มยอดขายและขยายช่องทางการตลาดได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นในการเชื่อมต่อระบบ e-Supply Chain ต่อไปในอนาคต
4. ส่งเสริม SMEs โดยใช้ Green IT ด้วยระบบ Dead Stock Management เพื่อลดต้นทุนในการเก็บสต๊อกสินค้าและเพิ่มมูลค่าของสต๊อกสินค้าเพิ่มขึ้น


นางอรรชกา กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ IT เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญในการผลิต ด้วยระบบ IT ที่ดีจะช่วยเสริมประสิทธิภาพในหลายๆ ด้าน อาทิ ระบบการผลิต การบริหารสินค้าคงคลัง การบริหารการเงินและบัญชี การบริหารบุคคล การบริหารฐานข้อมูลลูกค้า หรือเพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ ทาง กสอ.ได้จัดทำโครงการ ECIT ที่เป็นโครงการต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2552 มาจนถึงปี 2557 เพื่อกระตุ้นให้ SMEs ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารจัดการงานต่างๆ เพื่อเพิ่มผลิตภาพและลดต้นทุนของกิจการ ผลประโยชน์ของ SMEs ที่เข้าร่วมโครงการนี้ สามารถลดต้นทุนด้านลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ การจัดซื้อเครื่องแม่ข่าย การจ้างพนักงานดูแลระบบและอื่นๆ โดยเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 400,000 บาท ต่อบริษัท นอกจากนี้ สามารถช่วยลดต้นทุนต่างๆ ที่เกิดขึ้นในกิจการ โดยเฉลี่ยขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 200,000 บาท ต่อบริษัท.

Apple ปล่อย iOS 7.1.2 แก้ปัญหาบั๊กเล็กน้อยให้สาวกอัปเดตแล้ว




           30 มิถุนายน 57Apple ได้ฤกษ์ปล่อย iOS 7.1.2 เวอร์ชั่นล่าสุดออกมาให้ได้อัปเดตเรียบร้อย หลังจากก่อนหน้าคาดว่าจะปล่อยให้อัปเดตเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ที่ผ่านมาส่วนความเปลี่ยนแปลงใน iOS 7.1.2 Apple ขนาดไฟล์ 32.3 MB ระบุว่า มีดังนี้
- เพิ่มประสิทธิภาพการเชื่อมต่อและความสเถียรของ iBeacon
- แก้ข้อบกพร่องของการโอนถ่ายข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต่อพ่วงบางอย่างรวมถึงเครื่องอ่านบาร์โค็ด
- แก้ปัญหาเรื่องอีเมลด้านความปลอดภัยของไฟล์แนบที่มากับอีเมล

สามารถอัปเดต iOS 7.1.2 ได้ผ่านทาง Software Update ของ iOS ที่ Settings> General Software Update แนะนำควรสำรอง Backup ข้อมูลก่อน หรืออัปเดตผ่านทาง iTunes ก็สามารถทำได้เช่นกัน

ซัมซุงเปิดตัว'กาแลคซี่ แท็บ เอส'จอสวย-สีสด-คมชัด




         ซัมซุงเดินหน้าเปิดตลาดแท็บเล็ตระดับพรีเมียมอย่างต่อเนื่อง ส่ง "ซัมซุง กาแลคซี่ แท็บ เอส" สมาร์ทแท็บเล็ตแฟลกชิปรุ่นล่าสุด มากับเทคโนโลยีหน้าจอ Super AMOLED สุดล้ำ ที่จะปฏิวัติทุกความคมชัดบนหน้าจอแท็บเล็ต มั่นใจประสบความสำเร็จ พร้อมครองความเป็นหนึ่งในตลาดแท็บเล็ตระดับพรีเมียม พร้อมเปิด "ซัมซุง เอ็กซ์พีเรียนซ์สโตร์" ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครบวงจรทั้งลองใช้ ซื้อขาย ศูนย์บริการ ผงาดกลางสยามสแควร์     วันนายวิชัย พรพระตั้ง รองประธาน ธุรกิจโทรคมนาคมและไอที บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันแท็บเล็ตเป็นดีไวซ์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้สะดวกสบายขึ้น เห็นได้จากมีแท็บเล็ตหลากหลายรุ่นในตลาด สร้างความคึกคักให้แก่ตลาดแท็บเล็ต ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมาซัมซุงได้แนะนำแท็บเล็ตที่หลากหลายกลุ่มในหลายขนาดหน้าจอ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคทุกกลุ่ม ตามแนวคิด 'Designed for all, tailored to you' ไม่ว่าจะเป็น Note Series เน้นเรื่องการสร้างสรรค์ผลงานต่างๆ ด้วยปากกา S Pen และ Tab Series เน้นด้านการรับชมเนื้อหาเพื่อความบันเทิง โดยยอดขายและส่วนแบ่งการตลาดแท็บเล็ตซัมซุงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยเมื่อปีที่ผ่านมา ซัมซุงได้ตั้งเป้ายอดขายแท็บเล็ตทั่วโลกไว้ที่ 40 ล้านยูนิตซึ่งซัมซุงก็บรรลุเป้าหมาย ในปีนี้คาดว่าจะมีจำนวนแท็บเล็ตในตลาดทั่วโลกถึง 290 ล้านเครื่อง และในปี 2558 คาดการณ์ว่ายอดจำหน่ายแท็บเล็ตจะสูงกว่าคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและแล็ปท็อป"                                                                                                             
จากจำนวนการครอบครองแท็บเล็ตที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก พบว่า ผู้ใช้ส่วนใหญ่ใช้แท็บเล็ตเพื่อรับชมความบันเทิงในรูปแบบต่างๆ ถึง 50% ของการใช้งาน โดยจะเข้าอินเทอร์เน็ตเพื่อเสพความบันเทิง 67% รับชมวิดีโอ ทั้งที่เป็นคลิปสั้นและคลิปยาวเกิน 30 วินาที ไม่ว่าจะเป็นรายการทีวี ภาพยนตร์ และซีรีส์ต่างๆ ถึง 66% เข้าดูโซเชียลมีเดียต่างๆ 50% อย่างไรก็ตามแม้ว่าผู้ใช้งานส่วนใหญ่จะใช้แท็บเล็ตเพื่อรับชมความบันเทิง แต่พบว่าการให้ความสำคัญต่อคุณภาพของหน้าจอแท็บเล็ตในการตัดสินใจซื้อน้อยมาก ซัมซุงจึงต้องการที่จะให้ผู้บริโภคเห็นถึงความสำคัญของคุณภาพหน้าจอ เพื่อเพิ่มอรรถรสและประสบการณ์ในการรับชมความบันเทิงสูงสุด ดังนั้นคุณภาพของหน้าจอแท็บเล็ตที่สามารถมอบความคมชัดเหนือระดับ ให้สีสันที่สดใสสมจริง จึงควรเป็นเป็นปัจจัยสำคัญลำดับต้นๆ ในการเลือกซื้อแท็บเล็ต ด้วยเหตุนี้ซัมซุงจึงออกโรงพลิก เทรนด์โลกด้วย 'ซัมซุง กาแลคซี่ แท็บ เอส' สุดยอดแท็บเล็ตระดับพรีเมียมรุ่นแรกจากซัมซุง โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีหน้าจอสุดล้ำ มอบภาพที่คมชัดและสีสันสมจริง เพื่อประสบการณ์การรับชมความบันเทิงที่ยอดเยี่ยมที่สุดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งซัมซุงหวังว่าหลังจากได้แนะนำซัมซุง กาแลคซี่ แท็บ เอส ในเมืองไทยแล้ว จะช่วยให้ผู้บริโภคมีความรู้เกี่ยวกับการเลือกซื้อแท็บเล็ตมากขึ้นว่า สิ่งที่ผู้บริโภคควรจะให้ความสำคัญในการตัดสินซื้อแท็บเล็ตคือคุณภาพหน้าจอ เช่นเดียวกับการเลือกซื้อโทรทัศน์"                                                                                                                       
ซัมซุง กาแลคซี่ แท็บ เอส โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีหน้าจอ Super AMOLED ความละเอียด 2560x1600 มอบภาพคมชัดเต็มเปี่ยมทุกเฉดสี สมจริงด้วยสีดำที่ดำสนิทและสีขาวที่สว่างกว่าหน้าจอแท็บเล็ตอื่นทั่วไป ดีไซน์ระดับพรีเมียมเพรียวบาง หนาเพียง 6.6 มิลลิเมตร และเบาด้วยน้ำหนักเพียง 467 กรัม (รุ่น 10.5 นิ้ว) และ 298 กรัม (รุ่น 8.4 นิ้ว) จึงพกพาได้สะดวกยิ่งขึ้น เหนือระดับด้วยเทคโนโลยี Adaptive Display ที่ช่วยปรับปรุงการแสดงผลให้ดีที่สุดในทุกๆ สถานการณ์ อัดแน่นไปด้วยสุดยอดฟังก์ชันการใช้งานหลากหลาย มี 2 สี คือ ไทเทเนียม บรอนซ์ และแดซลิ่งไวต์ จะวางจำหน่ายในราคา 19,900 บาทสำหรับรุ่นหน้าจอ 10.5 นิ้ว และ 16,900 บาทสำหรับรุ่นหน้าจอ 8.4 นิ้ว".

เกาหลีใต้เผยยอดส่งออกสินค้าไอซีทีครึ่งปีแรกทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์





        กระทรวงการค้า อุตสาหกรรม และพลังงานของเกาหลีใต้เปิดเผยว่า ยอดส่งออกในอุตสาหกรรมสารสนเทศ การสื่อสาร และเทคโนโลยี (ไอซีที) ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องด้วยอุปสงค์อันแข็งแกร่งในส่วนของชิปและโทรศัพท์ที่ผลิตในประเทศยอดส่งออกภาคไอซีทีได้ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 8.383 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงครึ่งปีแรก เพิ่มขึ้น 3.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แม้ว่าแนวโน้มภาคเทคโนโลยีแลดูไม่สดใส แต่ยอดส่งออกของเกาหลีใต้ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำสถิติใหม่ โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการเซมิคอนดักเตอร์และสมาร์ทโฟนที่ผลิตในโรงงานเกาหลีใต้ยอดส่งออกชิปได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 10.6% จากปีก่อนหน้า แตะ 2.93 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงครึ่งปีแรก ขณะที่ยอดส่งออกโทรศัพท์รวมถึงสมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้น 12.6% แตะ 1.31 หมื่นล้านดอลลาร์
     ด้านบริษัทวิจัยการ์ทเนอร์ (Gartner) ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวในอุตสาหกรรมไอซีทีประจำปี 2557 ลงเหลือ 3.2% เมื่อเดือนพ.ค. จาก 3.6% ที่ได้คาดการณ์ไว้ 8 เดือนก่อนหน้านอกจากนี้ ทางกระทรวงรายงานว่า ยอดส่งออกเฉลี่ยต่อวันของภาคไอซีทีได้ทำสถิติสูงสุดที่ 360 ล้านดอลลาร์ในช่วงครึ่งปีแรก ในขณะเดียวกัน ยอดนำเข้าได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 7.4% แตะ 4.215 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ภาคไอซีทีเกินดุลการค้าทั้งสิ้น 4.168 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าสองเท่าเมื่อเทียบกับยอดเกินดุลการค้าของอุตสาหกรรมอื่นๆทั้งหมด
ทั้งนี้ ทางกระทรวงคาดการณ์ว่า ยอดส่งออกภาคไอซีทีของเกาหลีใต้จะยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้นในครึ่งปีหลัง อันเป็นผลจากยอดส่งออกผลิตภัณฑ์หลักของประเทศ แต่ก็ได้ชี้ถึงปัจจัยเชิงลบที่ยังคงปรากฎให้เห็นอยู่ เช่น แนวโน้มอุตสาหกรรมที่ไม่สดใส ราคาชิปความจำที่ถือว่าต่ำ ประกอบกับค่าเงินวอนที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สำนักข่าวซินหัวรายงาน

Samsung ปล่อยโฆษณา Galaxy S5 เนื้อหาแอบกัดจิก iPhone






              Samsung ปล่อยคลิปโฆษณาโชว์ความใหญ่ของหน้าจอของ Galaxy S5 พร้อมเรื่องราวผู้ถือ iPhone 5s จากค่าย Apple ยังแอบอิจฉา คู่ปรับตลอดกาล 2 ค่ายใหญ่ตลาดสมาร์ทโฟน Apple และ Samsung ที่ล่าสุด Samsung ปล่อยคลิปวิดีโอโฆษณา Galaxy S5 ที่โชว์ความใหญ่ของหน้าจอขนาดที่ผู้ใช้ iPhone 5s ยังแอบอิจฉามองตาไม่กระพริบ

ขณะที่ผลสำรวจตลาดครั้งล่าสุดลงานของบริษัท Counterpoint ที่ทำการสำรวจยอดขายในตลาดสมาร์ทโฟน 35 ประเทศ เดือนพฤษภาคม 2014 พบว่า iPhone 5s ทำยอดขายรวม 7 ล้านเครื่อง หลังเปิดตัวมาได้กว่า 8 เดือน ในขณะที่ Galaxy S5 ทำยอดขายไปได้ 5 ล้านเครื่อง


คลิปวิดีโอ